เมนู

8. สุหนุชาดก



เปรียบเทียบม้า 2 ม้า


[165] การที่ม้าโกงสุหนุกระทำความรักกับม้า
โสณะนี้ ย่อมมีด้วยปกติที่ไม่เสมอกันก็หามิได้
ม้าโสณะเป็นเช่นใด แม้ม้าสุหนุก็เป็นเช่นนั้น
ม้าโสณะมีความประพฤติเช่นใด ม้าสุหนุก็มี
ความประพฤติเช่นนั้น
[166] ม้าทั้งสองนั้น ย่อมเสมอกันด้วยการวิ่ง
ไปด้วยความคะนอง และด้วยกัดเชือกที่ล่ามอยู่
เป็นนิจ ความชั่วย่อมสมกับความชั่ว ความไม่
ดีย่อมสมกับความไม่ดี.

จบ สุหนุชาดกที่ 8

อรรถกถาสุหนุชาดกที่ 8



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ
ภิกษุดุร้ายสองรูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นยิทํ
วิสมสีเลน
ดังนี้.
ความพิสดารมีว่า ในสมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งแม้ในพระ-
วิหารเชตวัน ได้เป็นผู้ดุร้ายหยาบคายอย่างสาหัส. ในชนบท

ก็ได้มีภิกษุรูปหนึ่งดุร้าย. ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุที่อยู่ในชนบทได้
ไปพระวิหารเชตวันด้วยกรณียกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง. บรรดา
สามเณรและภิกษุหนุ่มรู้ว่า ภิกษุชาวชนบทรูปนั้นดุร้าย จึงส่ง
ภิกษุรูปนั้นไปยังที่อยู่ของภิกษุรูปที่อยู่สำนักพระเชตวัน ด้วย
แตกตื่นว่า จักเห็นภิกษุดุร้ายสองรูปนั้นทะเลาะกัน. ภิกษุทั้ง
2 รูปนั้น ครั้นเห็นกันและกันแล้วก็สามัคคีกัน อยู่ชื่นชมกันด้วย
ความรัก ได้กระทำกิจมีนวดมือ นวดเท้า และนวดหลังให้กัน
และกัน.
ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูก่อน
อาวุโส ภิกษุดุร้ายสองรูป เป็นผู้ดุร้ายหยาบคายอย่างสาหัสต่อ
ผู้อื่น แต่ทั้งสองรูปนั้นมีความสามัคคีกัน ชื่นชมกันอยู่ด้วยความ
รักต่อกันและกัน. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้
เท่านั้น แม้เมื่อก่อนภิกษุสองรูปนี้ก็ดุร้าย หยาบคายอย่างสาหัส
แต่ครั้นเห็นกันแล้วก็สามัคคีกัน ชื่นชอบกันด้วยความรัก แล้ว
ทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์สำเร็จราชการในทุกอย่าง
เป็นผู้ถวายอรรถถวายธรรมแด่พระราชา. ส่วนพระราชาพระองค์
นั้น ปกติทรงละโมภพระราชทรัพย์อยู่หน่อย. พระองค์มีม้าโกง

ชื่อมหาโสณะ คราวนั้นพวกพ่อค้าม้าชาวอุตตราบถนำม้ามา
500 ตัว. พวกอำมาตย์กราบทูลถึงเรื่องที่ม้ามาถวายพระราชา
ให้ทรงทราบ. ก็แต่ก่อนพระโพธิสัตว์ตีราคาม้าให้ทรัพย์ไม่ทำ
ราคาให้ตก (ไม่ลดค่าม้า). พระราชาทรงเห็นพระโพธิสัตว์ไม่ต่อ
ราคาให้ลด จึงตรัสเรียกอำมาตย์คนอื่นมาแล้วตรัสว่า นี่แน่เจ้า
เจ้าจงตีราคาม้า และเมื่อจะตีราคาจงปล่อยม้ามหาโสณะเข้าไป
ในระหว่างม้าเหล่านั้นก่อน แล้วให้กัดม้าทำให้เป็นแผล ในเมื่อ
ม้าพิการ จงต่อราคาให้ลดลง. อำมาตย์นั้นรับพระราชบัญชา
ได้กระทำตามพระราชประสงค์. พ่อค้าม้าทั้งหลาย ไม่พอใจ
จึงเล่าถึงกิริยาที่อำมาตย์นั้นทำให้พระโพธิสัตว์ทราบ. พระ-
โพธิสัตว์ถามว่า ในเมืองของพวกท่าน ไม่มีม้าโกงบ้างหรือ.
มีจ้ะนายม้าโกงชื่อสุหนุดุร้ายหยาบคายมาก. ถ้าอย่างนั้นเมื่อท่าน
มาอีก จงนำม้านั้นมาด้วย. พวกพ่อค้าม้ารับคำ เมื่อพวกเขามาอีก
ได้นำม้าโกงนั้นมาด้วย.
พระราชาทรงสดับว่า พวกพ่อค้าม้ามารับสั่งให้เปิด
สีหบัญชรทอดพระเนตรม้าทั้งหลาย แล้วมีพระบัญชาให้ปล่อย
ม้ามหาโสณะ. พวกพ่อค้าม้าเห็นม้ามหาโสณะมา ก็ปล่อยม้า
สุหนุไป. ม้าทั้งสองประจัญหน้ากันต่างก็เลียร่างกายกันด้วย
ความชื่นชม. พระราชาจึงตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า ดูซิ ม้าโกง
สองตัวนี้ดุร้ายหยาบคายแสนสาหัสต่อม้าอื่น กัดม้าอื่นให้ได้รับ
การเจ็บป่วย บัดนี้มันเลียร่างกายกันและกันด้วยความชื่นชม.

นี่มันเรื่องอะไรกัน. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่
พระองค์ ม้าเหล่านี้มีปกติไม่เสมอกันหามิได้ มันมีปกติเสมอกัน
มีธาตุเสมอกัน แล้วได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า :-
การที่ม้าโกงสุหนุกระทำความรักกับม้า
โสณะนี้ ย่อมมีด้วยปกติที่ไม่เสมอกันหามิได้
ม้าโสณะเป็นเช่นใด แม้ม้าสุหนุก็เป็นเช่นนั้น
ม้าโสณะมีความประพฤติเช่นใด ม้าสุหนุก็มี
ความประพฤติเช่นนั้น

ม้าทั้งสองนั้น ย่อมเสมอกันด้วยการวิ่ง
ไปด้วยความคะนองและด้วยกัดเชือกที่ล่ามอยู่
เป็นนิจ ความชั่วย่อมสมกับความชั่ว ความไม่ดี
ย่อมสมกับความไม่ดี.

ในบทเหล่านั้น บทว่า นยิทํ วิสมสีเลน โสเณน สุหนู สห
ความว่า สุหนุม้าโกง ทำกิริยาใดเสมอกับม้าโสณะ กิริยานี้มิใช่
เป็นไปโดยปกติไม่เสมอกับตน. ที่แท้ย่อมทำร่วมปกติเสมอกับ
ตน สัตว์ทั้งสองนี้ชื่อว่ามีปกติเสมอกัน มีธาตุเสมอกัน เพราะค่า
ที่ตนมีมารยาทเลวทราม มีปกติชั่วร้าย. บทว่า สุหนุปิ ตาทิโสเยว
ความว่า ม้าโสณะเป็นเช่นใด แม้ม้าสุหนุก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน.
บทว่า โย โสณสฺส สโคจโร ความว่า ม้าโสณะมีอารมณ์อย่างใด
ม้าสุหนุ ก็มีอารมณ์อย่างนั้นเหมือนกัน. เหมือนอย่างว่า ม้าโสณะ

ชอบรังแกม้า เที่ยวกัดม้าฉันใด แม้ม้าสุหนุก็ฉันนั้น. พระโพธิสัตว์
แสดงข้อที่ม้าทั้งสองนั้นมีอารมณ์เสมอกันด้วยบทนี้. เพื่อจะ
แสดงถึงม้าทั้งสองนั้นมีมารยาททรามเป็นอารมณ์เหมือนกัน จึง
กล่าวคำว่า ปกฺขนฺทินา (วิ่งไป) เป็นต้น. บทว่า ปกฺขนฺทินา
ได้แก่ มีปกติวิ่งไป คือมีปกติวิ่งไปเป็นอารมณ์เหนือม้าทั้งหลาย.
บทว่า ปคพฺเภน ได้แก่มีปกติชั่วประกอบด้วยความคะนองกาย
เป็นต้น. บทว่า นิจฺจํ ปกฺขนฺทินา ได้แก่มีปกติกัดและมีอารมณ์
ชอบกัดเชือกล่ามตัว. บทว่า สเมติ ปาปํ ปาเปน ความว่า ในม้า
สองตัวนั้นความชั่ว คือ ความมีปกติชั่วของตัวหนึ่ง ย่อมเหมือน
กันกับอีกตัวหนึ่ง. บทว่า อสตาสตํ ความว่า ความไม่ดีของอีก
ฝ่ายหนึ่ง ผู้ไม่สงบย่อมเข้ากันได้ คือเหมือนกันไม่ผิดแปลกกัน
กับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่สงบ คือประกอบด้วยมารยาททรามเหมือน
คูถเป็นต้น เข้ากันได้กับคูถเป็นต้น.
ก็พระโพธิสัตว์ครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว จึงถวายโอวาท
พระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมดาพระราชาไม่ควรโลภจัด
ไม่ควรทำสมบัติของผู้อื่นให้เสียหาย แล้วทูลให้ตีราคาม้าให้
ตามราคาที่เป็นจริง.
พวกพ่อค้าม้าได้ราคาตามที่เป็นจริง ต่างก็ร่าเริงยินดีพา
กันกลับไป. แม้พระราชาก็ตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ แล้ว
เสด็จไปตามยถากรรม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุม
ชาดก ม้าสองตัวในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุโหดร้ายสองรูปใน
ครั้งนี้ พระราชาได้เป็นอานนท์ ส่วนอำมาตย์บัณฑิตได้เป็น
เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาสุหนุชาดกที่ 8

9. โมรชาดก



ว่าด้วยนกยูงเจริญพระปริตต์


[167] พระอาทิตย์นี้ เป็นดวงตาของโลก เป็น
เจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอก กำลังอุทัยขึ้นมาทอ
แสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพี เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้า
ขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งทอแสงอร่าม
สว่างไปทั่วปฐพี ข้าพเจ้าอันท่านช่วยคุ้มกันแล้ว
ในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดวัน พราหมณ์เหล่าใด
ผู้ถึงฝั่งแห่งเวทในธรรมทั้งปวง ขอพราหมณ์เหล่า
นั้นจงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า และขอจง
คุ้มครองข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอนอบน้อม
แด่พระโพธิญาณ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ท่าน
หลุดพ้นแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรม
ของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว นกยูงนั้นเจริญพระปริตต์
นี้แล้วจึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร
[168] พระอาทิตย์นี้ เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้า
แห่งแสงสว่างอย่างเอก มีสีทองส่องแสงสว่าง
ไปทั่วปฐพีแล้วอัสดงคตไป เพราะเหตุนั้น ข้าพ-
เจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น ซึ่งมีสีทองส่อง